CIB ยืนยัน จับครบ 18 หมายจับ ผู้ต้องหาชุดแรก The ICON GROUP
ข่าวล่าสุดเกี่ยวกับการจับกุมผู้ต้องหาจาก The ICON Group โดย CIB (ตำรวจสอบสวนกลาง) ได้จับกุมผู้ต้องหาที่เชื่อมโยงกับกลุ่มดังกล่าวได้ครบ 18 ราย ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในชุดแรกของการดำเนินการ
รายชื่อผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม ได้แก่:
นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล (บอสพอล)
น.ส.ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร (บอสปัน)
นายฐานานนท์ หิรัญไชยวรรณ (บอสหมอเอก)
น.ส.นัฐปสรณ์ ฉัตรธนสรณ์ (บอสสวย)
น.ส.ญาสิกัญจณ์ เอกชิสนุพงศ์ (บอสโซดา)
นายนันท์ธรัฐ เชาวนปรีชา (บอสโอม)
นายธวิณทร์ภัส ภูพัฒนรินทร์ (บอสวิน)
นายหัสยานนท์ เอกชิสนุพงศ์ (บอสป๊อบ)
นายยุรนันท์ ภมรมนตรี (บอสแซม)
น.ส.พีชญา วัฒนามนตรี (บอสมิน)
นางวิไลลักษณ์ เจ็งสุวรรณ (บอสออย)
นายจิรวัฒน์ แสงภักดี
นายธนะโรจน์ ธิติจริยาวัชร์ (บอสอ๊อพ)
น.ส.กนกธร ปูรณะสุคนธ์ (บอสแม่หญิง)
นายกันต์ กันตถาวร (บอสกันต์)
น.ส.เสาวภา วงษ์สาขา (บอสอูมมี่)
นายเชษฐ์ณภัฎ อภิพัฒนากานต์ (บอสทอมมี่)
นายกลด เศรษฐนันท์ (บอสปีเตอร์)
การจับกุมครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่มีการสอบสวนกรณีที่ The ICON Group ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับการแชร์ลูกโซ่ และมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความโปร่งใสของธุรกิจดังกล่าว ซึ่งทำให้เกิดการร้องเรียนจากประชาชนหลายราย
ในขณะนี้ ทางตำรวจยังคงดำเนินการสอบสวนต่อเนื่อง โดยมีการติดตามผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติม และหากพบว่ามีความผิดจริงก็จะมีการดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
การจับกุมในครั้งนี้เป็นการก้าวหน้าในกระบวนการสอบสวนที่เชื่อมโยงกับหลาย ๆ บุคคลที่มีชื่อเสียง ซึ่งรวมถึงดาราชื่อดัง เช่น กันต์ กันตถาวร และ แซม ยุรนันท์ ที่เคยเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการโฆษณาของบริษัทดังกล่าว
หากต้องการติดตามข้อมูลข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับคดีนี้ สามารถติดตามรายละเอียดจากแหล่งข่าวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ .
ข่าวล่าสุดเกี่ยวกับ “The iCon Group”
และปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงนี้มีหลายประเด็นสำคัญที่ได้รับความสนใจ:
- การสอบสวนและการจับกุมผู้เกี่ยวข้อง: เมื่อเดือนตุลาคม 2024 นี้, กลุ่มผู้บริหารและเซเลบริตี้ที่เกี่ยวข้องกับ “The iCon Group” ถูกจับกุมหลังจากถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงและคดีความเกี่ยวกับธุรกิจออนไลน์ที่มีลักษณะเป็นพีระมิด โดยผู้ที่เกี่ยวข้องหลายคนได้ถูกสอบสวนอย่างเข้มงวด รวมถึงการยึดรถหรูจำนวนมาก เช่น Rolls-Royce, Ferrari, และ Bentley.
- การร้องเรียนและการสูญเสีย: ผู้เสียหายจากธุรกิจนี้มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยขณะนี้มีผู้ร้องเรียนจำนวนกว่า 5,648 ราย และมูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 1,611 ล้านบาท. รายงานยังเปิดเผยว่าในบางกรณี, ผู้ที่ลงทุนสูญเสียชีวิตเนื่องจากความเครียดจากการสูญเสียเงินทุน
- คำขอโทษจาก CEO: คุณวราธัช วรัญญาโยวรรักษ์, CEO ของ “The iCon Group,” ได้กล่าวขอโทษต่อผู้เสียหาย และยืนยันว่าจะรับผิดชอบและชดใช้ความเสียหายทั้งหมดให้กับผู้ลงทุน. เขายังเปิดเผยว่าเขาไม่ทราบถึงความเครียดที่บางคนประสบ
ข่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบที่รุนแรงจากการลงทุนในธุรกิจที่อาจมีความเสี่ยงสูง โดยมีทั้งความเสียหายทางการเงินและชีวิตจากการสูญเสียที่เกิดขึ้น.
คดี “The ICON Group”
ยังคงเป็นที่สนใจในสื่อและสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้มีการจับกุม 18 ผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับบริษัทดังกล่าวแล้ว ส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการธุรกิจ รวมถึง “บอสพอล” และผู้ร่วมก่อตั้งคนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
คดีนี้มีมูลค่าความเสียหายที่เพิ่มขึ้นทุกวัน โดยล่าสุดยอดผู้เสียหายมีจำนวนสูงถึง 5,600 ราย รวมความเสียหายเกินกว่า 1,611 ล้านบาท ขณะนี้ยังมีผู้เสียหายรายใหม่ทยอยมาแจ้งความเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้คดีนี้อาจเข้าสู่ขั้นตอนการสอบสวนระดับพิเศษ.
ในแง่ของการสอบสวน เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบการติดสินบนและความเชื่อมโยงกับหน่วยงานรัฐ ซึ่งมีการกล่าวถึงในสื่อว่า “The ICON Group” อาจมีการติดสินบนกับเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วน【108†source】. นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่าความเสียหายนี้อาจส่งผลให้คดีนี้ถูกพิจารณาเป็นคดีพิเศษ
แม้ว่าจะมีการจับกุมผู้ต้องหาแล้วบางส่วน แต่ยังมีบุคคลที่ต้องตามจับและสอบสวนเพิ่ม. หากคุณต้องการติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีนี้ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดที่ Bangkok Biz News ได้.
ล่าสุด The ICON Group
มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ได้จับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 18 คน ซึ่งรวมถึงผู้บริหาร, คนดัง, และเครือข่ายการตลาดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจออนไลน์ที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการฉ้อโกงและการทำผิดกฎหมายทางคอมพิวเตอร์
ในวันที่ 17 ตุลาคม 2567 ทางตำรวจได้ยึดรถหรูหลายคันจากผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ เช่น Rolls-Royce, Ferrari, Bentley, และ Porsche ซึ่งรวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท. นอกจากนี้ จำนวนผู้เสียหายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีประมาณ 1,700 คนที่แจ้งความเกี่ยวกับการเสียหายที่มีมูลค่าถึง 600 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ผู้ต้องหาหลายคนได้ยืนยันว่า ธุรกิจของ The ICON Group เป็นธุรกิจออนไลน์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ใช่กลุ่มที่ลวงหลอกหรือเป็นแผนการตลาดแบบพีระมิด อย่างไรก็ตาม ตำรวจมีแผนที่จะขัดขวางการประกันตัวทั้งหมด และกำลังดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติม
ข่าวนี้ยังคงได้รับความสนใจจากสื่อและประชาชนที่ติดตามการดำเนินคดีอย่างใกล้ชิด.
สรุปข่าวล่าสุด ดิไอคอนกรุ๊ป (The ICON Group) เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2567
มีความคืบหน้าหลังจากการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 18 รายตามหมายจับที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดทางการเงิน เช่น การฉ้อโกงและฟอกเงิน โดยทางตำรวจได้ขยายผลตรวจสอบทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหา ซึ่งรวมถึงการตรวจยึดรถหรูหลายคัน มูลค่ารวมประมาณ 100 ล้านบาทเพื่อเป็นหลักฐานในการสอบสวน
ตามข่าวล่าสุดเกี่ยวกับ ดิไอคอนกรุ๊ป (The ICON Group) ซึ่งมีความคืบหน้าในวันที่ 20 ตุลาคม 2567, ทางตำรวจได้ดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 18 รายที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดทางการเงิน เช่น การฉ้อโกงและฟอกเงิน โดยในขั้นตอนล่าสุดได้ขยายผลในการตรวจสอบทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาหลายราย เช่น การตรวจยึดรถหรูหลายคันที่มูลค่ารวมประมาณ 100 ล้านบาท. ทรัพย์สินเหล่านี้ถูกนำไปเป็นหลักฐานในการสอบสวน เพื่อเสริมสร้างการดำเนินคดีตามกฎหมาย.
กรณีนี้สร้างความกังวลในสังคมเกี่ยวกับกิจการของดิไอคอนกรุ๊ป และการที่มีบุคคลในวงการบันเทิงเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น กันต์ กันตถาวร หรือ แซม ยุรนันท์ ที่ทำหน้าที่เป็นพรีเซนเตอร์ในโปรโมตสินค้า ซึ่งทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความโปร่งใสของบริษัท.
ตำรวจ ได้ดำเนินการตามกระบวนการสอบสวน และยังคงขยายการตรวจสอบการฟอกเงิน รวมถึงการเชื่อมโยงทรัพย์สินที่ได้จากกิจการของบริษัทที่มีข้อกล่าวหาดังกล่าว.
ข้อมูลที่กล่าวถึงสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากหลายแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง.
ทั้งนี้ ผู้ต้องหาหลายคนในดิไอคอนกรุ๊ปมีบทบาทสำคัญในบริษัท เช่น การทำตลาดออนไลน์และการขายสินค้าผ่านตัวแทนจำหน่าย เช่น “บอสพอล” (นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล) และ “บอสปัน” (น.ส.ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร) ซึ่งเคยเป็นที่รู้จักในวงการบันเทิงด้วย
ผู้ต้องหาหลายคนในกรณี ดิไอคอนกรุ๊ป มีบทบาทสำคัญในการดำเนินกิจการของบริษัท โดยเฉพาะในด้านการทำตลาดออนไลน์และการขายสินค้าผ่านตัวแทนจำหน่าย ซึ่งหลายคนมีชื่อเสียงในวงการบันเทิง โดยหนึ่งในบุคคลที่มีบทบาทในคดีนี้คือ “บอสพอล” (นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล) และ “บอสปัน” (น.ส.ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร) ซึ่งทั้งคู่เคยมีชื่อเสียงในวงการบันเทิงและได้รับการยอมรับในบางแวดวง.
การขายสินค้าผ่านตัวแทนและการทำตลาดออนไลน์ของบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป ได้รับความนิยมในช่วงที่บริษัทดำเนินการ โดยใช้กลยุทธ์การตลาดที่ให้ตัวแทนสามารถชักชวนคนอื่นเข้าร่วมในระบบการขาย ซึ่งในบางกรณีอาจทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับรูปแบบการดำเนินงานว่าอาจเกี่ยวข้องกับ “แชร์ลูกโซ่” หรือกิจการที่มีลักษณะการหลอกลวง.
“บอสพอล” และ “บอสปัน” เป็นบุคคลสำคัญที่ได้รับความสนใจในเรื่องนี้ เนื่องจากทั้งสองคนมีชื่อเสียงและยังเป็นที่รู้จักในฐานะตัวแทนจำหน่ายหลักของสินค้าบางประเภทในธุรกิจนี้. ตอนนี้เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมด เพื่อสรุปความเชื่อมโยงระหว่างผู้ต้องหากับกิจกรรมทางการเงินที่ผิดกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น.
ข่าวนี้ได้รับความสนใจจากหลายแหล่ง ทั้งในวงการบันเทิงและสังคมทั่วไป เนื่องจากการมีชื่อเสียงของผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้อง.
การจับกุมครั้งนี้ถือเป็นการขยายผลที่สำคัญ หลังจากที่กลุ่มบริษัทได้ถูกสอบสวนและเผชิญกับการตรวจสอบทรัพย์สินจำนวนมากจากหลายหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการฟอกเงินผ่านกิจการที่มีชื่อเสียงเหล่านี้
การจับกุมครั้งล่าสุดของกลุ่ม ดิไอคอนกรุ๊ป ถือเป็นการขยายผลการสอบสวนที่สำคัญ หลังจากที่กลุ่มบริษัทนี้ถูกสอบสวนอย่างละเอียดจากหลายหน่วยงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการฟอกเงินผ่านกิจการที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ โดยการตรวจสอบทรัพย์สินจำนวนมากรวมถึงการยึดทรัพย์สินจากการทำธุรกิจที่อาจเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด.
หนึ่งในกระบวนการที่มีความสำคัญคือการตรวจสอบทรัพย์สินที่อาจได้มาจากกิจกรรมที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น รถหรูหลายคันที่มูลค่ารวมประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งจะถูกใช้เป็นหลักฐานในการสอบสวนต่อไป. นอกจากนี้ยังมีการตรวจสอบเส้นทางการเงินเพื่อเชื่อมโยงกับการทำธุรกิจออนไลน์และแชร์ลูกโซ่ที่อาจเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำผิด.
กลุ่มผู้ต้องหาหลายคนในครั้งนี้มีชื่อเสียงในวงการต่าง ๆ โดยเฉพาะในวงการบันเทิงและธุรกิจออนไลน์ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นที่ทำให้คดีนี้ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป. ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงดำเนินการสืบสวนอย่างต่อเนื่องเพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม.
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของหน่วยงานต่าง ๆ ในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินที่อาจเกิดขึ้นจากกิจการที่มีชื่อเสียง และยังแสดงให้เห็นถึงการตรวจสอบที่ครอบคลุมทั่วทั้งภาคธุรกิจ.